Part 4 – The Success of Tokyo Dome Live and TAIJI Quit
ยอดขายของอัลบั้มที่สอง Jealousy ประสบความสำเร็จมาก และไม่ช้าคำพูดของโยชิกิเรื่องล้านยอดขายก็กลายเป็นความจริง
ทั้งทีวีและวิทยุเปิดเพลงใหม่ของ X ซ้ำไปซ้ำมา ทุกคนที่ได้ฟังต่างก็รู้สึกทึ่งกับเสียงร้องอันทรงพลัง ความงดงามของท่วงทำนอง และเนื้อเพลงเศร้าบาดหัวใจ ต่างนึกสงสัยว่ามีความลับอะไรที่ทำให้ดนตรีและแฟชั่นแปลก ๆ รวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ผู้คนรู้สึกได้ถึงพลังของคนรุ่นใหม่แห่งยุค 90s ว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมอนุรักษ์นิยมแบบเก่าได้
นักวิจารณ์ดนตรีและคนจากค่ายเพลงอื่น ๆ ที่เคยสบประมาทว่าอย่างไรฮาร์ดร็อคก็ไม่มีทางขึ้นมาอยู่ในกระแสหลักได้ แม้อัลบั้ม BLUE BLOOD จะประสบความสำเร็จก็ตาม แต่ตอนนี้พวกเขาต้องยอมรับอย่างช่วยไม่ได้ถึงพลังอันเหลือล้นของวงที่สามารถเปลี่ยนแปลงยุคสมัยได้
ทุกครั้งที่โยชิกิถูกสัมภาษณ์ เขาพูดถึงดนตรีและเป้าหมายของวง การมุ่งไปข้างหน้า การทำลายทุกอุปสรรคที่ขัดขวาง เปลี่ยนค่านิยมเก่า ๆ ของเพลงร็อค และสร้างงานดนตรีเพื่อครองวงการเพลงญี่ปุ่น และเขาพูดทั้งหมดนั้นด้วยน้ำเสียงสุภาพนุ่มนวล ยิ่งทำให้ดูน่าประทับใจมากขึ้นไปอีก
มีศิลปินร็อคในญี่ปุ่นน้อยมากที่ออกมาพูดแสดงความคิดเห็นและมุมมองของตัวเอง ทำให้ตัวโยชิกิเป็นที่น่าจับตามอง หนุ่มสาวในยุคนั้นตอบรับเพลงของ X และสิ่งที่โยชิกิพูดเป็นอย่างดีผ่านการแต่งหน้าแต่งตัวสุดโต่ง ทุกครั้งที่ขึ้นเวที ทุกคนในวงสัมผัสได้ถึงพลังความรักมากมายจากแฟน ๆ นั่นคือเหตุผลที่โยชิกิคิดว่าปรากฏการณ์ล้านยอดขายไม่ใช่เพียงภาพลวงตา
X ยังมีแฟนเพลงเพิ่มมากขึ้น นักร้องและวงดนตรีป๊อปรุ่นใหม่ ๆ ยอมรับว่าเป็นแฟนเพลงของ X นักวิจารณ์และผู้สื่อข่าวบันเทิงที่มีอายุ ก็ชื่นชมทั้งความสามารถทางดนตรีและการวางตัวของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังชนะใจคนฟังทั่วไปที่ไม่ได้สนใจฮาร์ดร็อคได้ด้วยการแสดงบนเวที ทำให้ผู้คนเริ่มมองเพลงร็อคต่างออกไป จากที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของขบถและการต่อต้าน แต่ X ทำให้ดนตรีอันน่าทึ่งของพวกเขาเข้าถึงทุกคนได้
หลังจากทศวรรษที่ 21 มาจนถึงตอนนี้ เมื่อพูดถึงประวัติศาสตร์ดนตรีร็อคญี่ปุ่น มักจะใช้วลี “ยุคก่อน X” และ “ยุคหลัง X” จึงชี้ให้เห็นได้ว่าวงนี้ไม่ได้สร้างเพียงเพลงฮิต แต่ด้วยวิถีชีวิตและดนตรีของพวกเขา มันสามารถเปลี่ยนแปลงโลกและเชื่อมโยงใกล้ชิดกับสาธารณชนในวงกว้าง
.
·
เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2534 การโปรโมตอัลบั้ม Jealousy ยังดำเนินต่อเนื่องไม่หยุด โยชิกิเริ่มเตรียมการสำหรับทัวร์คอนเสิร์ตครั้งใหม่ ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม แม้อาการบาดเจ็บกระดูกคอของเขาจะไม่สามารถรักษาให้หายได้ และไม่ควรจะทัวร์ด้วยซ้ำ หมอเคยสั่งอย่างเคร่งครัด:
“ถ้าคุณยังต้องขึ้นเวที ก็ขอให้ใส่ปลอกพยุงคอ อย่าขยับคอและร่างกายส่วนบน และตีกลองในตำแหน่งเดิมเท่านั้นนะ”
โยชิกิตัดสินใจทัวร์ 14 โชว์ใน 9 เมืองทั่วประเทศ คอนเสิร์ตใหญ่ที่สุดจะจัดที่โตเกียวโดมในวันที่ 23 สิงหาคม บัตรจำนวน 54,000 ใบ ขายหมดในเวลาเพียงสองชั่วโมงหลังเปิดขาย
ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าความผิดพลาดในสถานที่จัดคอนเสิร์ตอันยิ่งใหญ่และทรงเกียรตินี้ ที่นี่เป็นสนามกีฬาขนาดใหญ่ที่ใช้แข่งขันเบสบอล จึงย่อมมีปัญหาเรื่องระบบเสียงที่กระจายได้ไม่ทั่วถึง แต่การได้เล่นคอนเสิร์ตในโดมนี้ให้แฟน ๆ ได้ชมนับว่าคุ้มค่าที่จะเสี่ยง
Y – เรากำลังจะเปลี่ยนประวัติศาสตร์!
โยชิกิพูดสิ่งที่ตัวเองคิดกับทุกคนในวง
Y – และเป้าหมายต่อไปคือทั้งโลก!
เป้าหมายที่จะก้าวไปสู่ระดับโลกเริ่มก่อตัวเป็นรูปร่าง
“พวกเราจะพิสูจน์ว่าเพลงของ X จะเป็นที่ยอมรับไม่เฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ที่ยุโรปและอเมริกาด้วย”
ที่จริงเมื่อ X เริ่มงานอัดเสียงกันในอเมริกา สตาฟชาวอเมริกันหลายคนยังแปลกใจว่ามีวงญี่ปุ่นที่เล่นฮาร์ดร็อคด้วย พวกเขาเคยคิดว่า การที่รากฐานของฮาร์ดร็อคตั้งอยู่ที่อเมริกาและอังกฤษ คงจะเป็นเรื่องยากที่ชาวญี่ปุ่นจะเข้าถึงได้ สิ่งนี้สร้างความรำคาญให้กับโยชิกิเป็นอย่างมาก
Y – มายุโรปหรืออเมริกาในฐานะนักท่องเที่ยวมันง่ายมาก แต่การมาทำงานมันไม่ใช่ แต่ไม่ต้องห่วง สักวันเราจะเซ็นสัญญากับค่ายเพลงอเมริกันให้ได้
ทุกคนที่รู้จักโยชิกิต่างรู้กันดีว่าเขาไม่เคยพูดเล่น ฮิเดะเป็นคนแรกที่ได้ฟังความคิดนี้จากโยชิกิ เมื่อถูกถามว่าคิดอย่างไร ก็ตอบด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ:
H – ทำตามที่โยชิกิคิดและรู้สึกน่ะดีแล้ว เดินหน้าต่อไปแบบไม่ต้องห่วงว่ามันจะไกลแค่ไหน ไม่ว่าจะต้องฝ่าฟันกับอะไร พวกเราพร้อมไปกับนายนะ
สำหรับฮิเดะแล้ว ความตั้งใจของโยชิกิเสมือนพายุหิมะที่เป็นหัวใจของ X แน่นอนว่าสมาชิกวงทุกคนเห็นด้วยและพร้อมยอมรับความท้าทายนี้
.
·
「Violence In Jealousy Tour」เริ่มต้นขึ้นวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ.2534 ณ Niigata Sangyo Center จังหวัดนีงะตะ ต่อหน้าผู้ชมคือเวทีที่ออกแบบเหมือนพีระมิดเป็นฉากหลัง เงาของสมาชิกในวงปรากฏขึ้นทีละคนท่ามกลางควันสีขาว เมื่อโทชิกับผมสีบลอนด์ที่ตั้งขึ้นราวกับมงกุฏ ตะโกนออกมาทำลายความเงียบ เสียงเพลงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น
โยชิกิยังคงขัดคำสั่งหมอ เขาตีกลองแบบใส่ไม่ยั้งเหมือนเดิมและไม่ได้ใส่ปลอกพยุงคอ ช่วงที่เขาโซโลจนถึงจุดพีค แฟน ๆ กรีดร้องด้วยความกลัวว่าเขาจะหมดสติไปอีก แต่เขาก็ผ่านมาได้ จนถึงช่วงท้ายเขาพังกลองอย่างบ้าคลั่ง แต่มีการเตรียมกลองชุดสำหรับเหตุการณ์นี้ไว้แล้วตามจำนวนโชว์ของทั้งทัวร์
ในที่สุดโยชิกิก็สามารถเล่นคอนเสิร์ตได้ราบรื่นตั้งแต่ต้นจนจบอังกอร์ ท่ามกลางความกังวลของคนในวงและสตาฟ เขาพูดอย่างตื่นเต้นเมื่อกลับมาถึงห้องแต่งตัว
Y – มันก็เจ็บแหละ แต่ฉันก็ทำได้แล้ว ไม่ได้เป็นลมหรือมีอาการหายใจลำบากอะไรเลย
โยชิกิมาปาร์ตี้หลังคอนเสิร์ตช้าเพราะต้องนวดกายภาพบำบัดก่อน เขาพูดความรู้สึกกับสมาชิกในวงและสตาฟ:
Y – ก่อนคอนเสิร์ตจะเริ่มฉันกังวลสุด ๆ เลย แต่ตอนนี้ฉันมีความสุขมากที่ได้ดื่มกับทุกคนที่นี่
คนในวงต่างก็ตื่นเต้นกับความสำเร็จของอัลบั้มและการเริ่มทัวร์ครั้งใหม่ พวกเขาดื่มฉลองกันจนเช้า
·
ท่ามกลางวงสนทนาปกติ เบื้องหลังรอยยิ้มของโยชิกิกำลังซ่อนความกังวลบางอย่าง
“ฉันมีชีวิตอยู่มาหนึ่งในสี่ของศตวรรษแล้ว แต่จะตีกลองไปได้อีกนานแค่ไหน? ฉันเหลือเวลาอีกเท่าไหร่?”
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือกับใคร ความเศร้าสุดจะพรรณนายังคงซ่อนอยู่ภายใต้จิตวิญญานอันร้อนแรง ไม่เคยหายไปไหน
ในระหว่างนั้น คอนเสิร์ต ณ โตเกียวโดมที่โยชิกิใฝ่ฝันมาตั้งแต่วันแรกที่ตัดสินใจเซ็นสัญญา ก็ใกล้เข้ามาทุกที
.
22 สิงหาคม สมาชิกในวงนัดกันมาซ้อมใหญ่ที่โตเกียวโดมในช่วงบ่าย งานติดตั้งดำเนินไปในสนามกีฬายักษ์แห่งนี้ราวกับไซต์ก่อสร้าง รถเครนติดตั้งอุปกรณ์และไฟบนเวทีขนาดใหญ่ มองด้วยตาก็พอจะเดาขนาดของสถานที่ได้จากจำนวนสตาฟที่ต่างกำลังยุ่งอยู่กับหน้าที่ของตัวเองตอนนี้
ทุกคนในวงค่อนข้างซีเรียสกับการซ้อมครั้งนี้ เพราะแม้จะมีประสบการณ์เล่นในหลาย ๆ สนามกีฬามาแล้ว แต่กับโดมใหญ่ขนาดนี้ ทางเดียวที่จะรู้ว่าควรปรับเสียงอย่างไรให้ดีที่สุด คือการเล่นไปทีละเพลงแล้วฟังด้วยตัวเอง
แต่ทว่า เลยเวลานัดไปหลายชั่วโมงแล้วก็ยังเริ่มซ้อมไม่ได้เพราะโยชิกิยังไม่มา
“โยชิกิหายตัวไป”
ทั้งสมาชิกในวงและสตาฟที่กำลังจัดเวทีอยู่ต่างก็งุนงงกับข่าวนี้ ไม่ช้าความสับสนก็แพร่ไปถึงสตาฟทุกคนในโดม
โยชิกิหายไปไหน?
เป็นผู้จัดการนั่นเองที่รู้สาเหตุ
“เขากินข้าวแกงกะหรี่แล้วบอกว่ามันเผ็ดมาก เลยโมโหและกลับโรงแรมไปแล้ว……”
เมื่อคนในวงได้รู้เหตุผลก็ยิ่งสงสัยหนัก แกงกะหรี่เผ็ดก็เป็นเรื่องธรรมดานี่นา ยิ่งการโมโหกับเรื่องนี้แล้วทิ้งการซ้อมใหญ่ไปเหมือนเด็ก ๆ อีก
เรื่องราวก็คือ โยชิกิชอบแกงกะหรี่อินเดียของร้านหนึ่งในย่านรปปงหงิมาก เขาเลยขอผู้จัดการ:
Y – ก่อนซ้อมช่วยซื้อข้าวแกงกะหรี่จากร้านนั้นให้หน่อยครับ
ทว่าผู้จัดการไม่ได้สั่งมาจากร้านโปรดของเขา แต่ไปซื้อมาจากร้านที่อยู่ใกล้ ๆ กับโตเกียวโดมแล้วเอามาให้ในห้องแต่งตัว มันเป็นแกงกะหรี่แบบเผ็ด ไม่เหมือนกับที่เขาชอบเลยสักนิด
ในตอนนั้นโยชิกิมาถึงห้องแต่งตัวด้วยความหิวโซจึงรีบทานทันที ทานไปจนเกือบจะหมดแล้วเพิ่งรู้สึกว่ามันเผ็ดเกินไปมาก
อาหารรสเผ็ดทำให้เขามีอาการแพ้และอ่อนแรงเหมือนที่เคยเป็นสมัยเด็ก เมื่อเขารู้สึกไม่สบายจึงรีบออกไปจากห้อง พอเจออาหารที่เป็นตัวกระตุ้น อาการหายใจลำบาก อ่อนแรง และผื่นคันจะเริ่มขึ้น เขาขับรถของผู้จัดการกลับไปที่โรงแรม กระโดดขึ้นเตียงและฝากสตาฟซื้อยามาให้
สมาชิกในวงก็ไม่สบายใจที่ซ้อมโดยไม่มีโยชิกิ แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าโยชิกิคงไม่กลับมาแน่นอน การซ้อมของทั้งสี่คนจึงต้องดำเนินไปโดยขาดมือกลอง
.
แต่วีรกรรมของโยชิกิไม่ใช่ครั้งนั้นครั้งเดียว สองอาทิตย์หลังคอนเสิร์ตที่โตเกียวโดม วันที่ 7 กันยายน หนึ่งวันก่อนคอนเสิร์ตที่นาโกยา เขามีคิวถ่ายแบบในสตูดิโอถ่ายภาพกับช่างภาพชื่อดัง คิชิน ชิโนะยามะ เมื่อโยชิกิเข้าไปที่สตูดิโอของชิโนะยามะในย่านรปปงหงิ เขาถามว่ามีห้องอาบน้ำไหม เพราะเขาอยากจะอาบก่อนถ่าย ผู้ช่วยช่างภาพจึงพาเขาไปที่ห้องอาบน้ำ
Y – น้ำร้อนนี่ใช้ได้ใช่ไหม
“ใช้ได้แน่นอน”
แต่ไม่นานหลังจากผู้ช่วยเดินออกมา ก็ได้ยินเสียงร้องดังของโยชิกิ
เขาออกมาจากห้องอาบน้ำด้วยสีหน้าไม่ดีและเสื้อผ้าเปียกปอน
Y – มันใช้ไม่ได้! มันมีแต่น้ำร้อนออกมา!
เขารีบออกจากสตูดิโอไปหาสตาฟที่รออยู่ แล้วบอกให้ขับรถตรงไปนาโกยาที่จะเล่นคอนเสิร์ตในวันรุ่งขึ้นทันที แถมยังยืนกรานว่าจะไม่กลับมาที่นี่อีก โยชิกิอธิบายว่า เขาพยายามปรับอุณภูมิเท่าไรก็ไม่มีน้ำออกมา จนในที่สุดเขาก็ถูกน้ำร้อนจัดลวก ที่จริงแล้วทั้งตัวเขาแดงและไหม้ไปหมด
ผู้ช่วยบอกกับช่างภาพชิโนะยามะว่า “โยชิกิกลับไปแล้ว เขาบอกว่าน้ำร้อนเกินไป”
วันต่อมาพนักงานจากโซนีหลายคนเข้าไปขอโทษช่างภาพที่สตูดิโอ แต่เมื่อโยชิกิรู้ก็ยิ่งโมโห
Y – ที่ผ่านมาเราโดนยกเลิกสัมภาษณ์หรือการถ่ายทำมาตั้งกี่ครั้งแล้ว? ทำไมครั้งนี้ต้องไปขอโทษด้วย เขาดังมากหรือว่าเป็นคนใหญ่คนโต?
การถ่ายแบบกับช่างภาพคนนี้ไม่เคยเกิดขึ้นอีก แต่ละครั้งโยชิกิใช้เวลาทำงานในสตูดิโอ 48 ชั่วโมงเพราะเขาไม่นอน การนัดหมายจึงทำได้ยากมาก บรรดานักข่าวที่รู้จักเขาดีต่างก็ไม่แปลกใจถ้าอยู่ ๆ ต้องยกเลิกหรือเลื่อนนัดไปแบบกะทันหัน พวกเขาต้องรอโอกาสนัดหมายครั้งถัดไป
「เหตุแกงกะหรี่ที่โตเกียวโดม」 และ「เหตุน้ำร้อนที่สตูดิโอชิโนะยามะ」 กลายเป็นวีรกรรมที่แฟน ๆ และสื่อต่างพูดถึงไปทั่ว รวมถึง「เหตุเรียกแท็กซีจากคานะซาวะกลับโตเกียว」 ทั้งหมดคือการเผยให้เห็นความเป็นโยชิกิ ที่กลายเป็นตำนานและถูกเผยแพร่สู่สาธารณชนในวงกว้าง
.
·
◊
ย้อนกลับไปวันที่ 23 สิงหาคม คอนเสิร์ตใหญ่ ณ โตเกียวโดม อาการแพ้ของโยชิกิดีขึ้นแล้วและเขามาถึงตามเวลานัด เขาเช็คเสียงและตรวจลิสต์เพลงทั้งหมด เป็นการเล่นที่โตเกียวโดมครั้งแรกโดยที่เขาไม่ได้ซ้อมใหญ่ และแน่นอนว่าห้ามใครพูดถึงเรื่องแกงกะหรี่ด้วย
ผ่านไปประมาณ 30 นาทีหลังกำหนดการ ไฟมืดลงและสมาชิกทุกคนก็ปรากฏตัวขึ้นบนเวที เสียงตะโกนกรีดร้องรวมเป็นหนึ่งเดียวเติมเต็มไปทั่วทั้งสนามกีฬา ผู้ชมลุกขึ้นจากเก้าอี้จ้องมองไปที่เวที ไฟสปอตไลท์ส่องสว่างสลับกับสีแดงและน้ำเงิน เสียงตะโกนร้องเรียกชื่อของสมาชิกทั้งห้าทีละคนพร้อมก้าวเข้าสู่จังหวะของบทเพลง ทั้งสองด้านของเวทีมีหน้าจอขนาดใหญ่ที่ถ่ายให้เห็นใบหน้าของแต่ละคนชัดเจน
เมื่อถึงช่วงโซโลกลอง เสียงร้องแห่งความสุขและความตื่นเต้นดังผสมกึกก้องกันทั่วทั้งโดม โยชิกิจับไม้กลองแน่น ทุ่มพลังลงไปเยอะกว่าที่เคยเพราะอยากส่งให้ไปถึงที่นั่งที่อยู่ไกลสุด ไม่นานหลังจากจุดพีค เหมือนโยนพลังร้อนแรงทิ้งหายวับไปในอากาศ โยชิกิกลับสู่ความนิ่งสงบ เขาเริ่มเล่นเปียโนอย่างสง่างามด้วยนิ้วมือเรียวราวกับผู้หญิง เสียงของเปียโนก็ทำให้ทั้งโดมนั้นผ่อนคลาย
บนเวที โยชิกิแสดงให้เห็นถึงขั้วความต่างระหว่าง “การทำลายล้าง” กับ “ความสงบนิ่ง” ตอนที่พังกลองชุดราวกับต่อสู้อยู่กับศัตรูดุร้าย ไม่กี่วินาทีต่อมาโยชิกิคนเดิมนั่งอยู่หน้าเปียโน เริ่มบรรเลงเพลงในท่วงทำนองเศร้า ๆ เหมือนแดดแผดเผาตอนกลางวันและความมืดมิดยามค่ำคืนหลอมรวมอยู่ในคน ๆ เดียวอย่างยากจะอธิบาย และนั่นเป็นสิ่งที่ครองหัวใจของแฟน ๆ ได้
และเมื่อได้ดูสมาชิกทั้งห้าของ X บนเวทีโตเกียวโดม ทำให้นึกถึงบรรยากาศคอนเสิร์ตใหญ่ในสนามกีฬาของวงระดับโลก เช่น THE BEATLES, THE ROLLING STONES, Led Zeppelin หรือ KISS ได้เลย
ในที่สุดก็มาถึงช่วงอังกอร์ แฟน ๆ ยกแขนทำท่ากากบาทแล้วกระโดดในเพลง 「X」 ทำเอาพื้นสนามกีฬาสั่น โยชิกิเชื่อมั่นขึ้นมาอีกครั้งว่า เวทีคือที่ที่เขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้จริง ๆ
ช่วงสุดท้ายจบไปกับการจับมือกันขอบคุณแฟน ๆ พร้อมกับความโล่งอกที่สามารถผ่านไปได้โดยไม่เป็นอะไร แน่นอนว่าคงจะมีวันที่ร่างกายของเขาไม่เป็นอย่างใจ เขายังซ่อนความกังวลอยู่ลึก ๆ โดยหวังแค่ว่าขอให้อยู่ได้จนจบทัวร์ก็พอใจ
◊
แต่ไม่นานความกลัวของโยชิกิก็มาถึง..
24 ตุลาคม พ.ศ.2534 ณ Yokohama Arena เขาหมดสติระหว่างคอนเสิร์ต เขาใส่ไม่ยั้งเหมือนที่เคยตั้งแต่เริ่มคอนเสิร์ต แต่พอจบช่วงโซโลกลองเขาก็เป็นลมไป สตาฟเรียกชื่อเขาแต่ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ ได้ยินเพียงเสียงหายใจหอบของเขาเท่านั้น จึงถูกพาไปที่ห้องแต่งตัว
ระหว่างที่ฮิเดะกำลังโชว์กีตาร์โซโลบนเวที ทางทีมของโซนีและผู้จัดต้องหารือเป็นการด่วนว่าจะเอาอย่างไรกับสถานการณ์ตรงหน้า
อันที่จริง วันนั้นเขาแทบจะลุกออกจากเตียงไม่ได้เพราะโหมงานมาหนักแถมยังป่วยเป็นหวัด คอนเสิร์ตต้องเริ่มช้าไป 1 ชั่วโมงครึ่ง จากเดิมหกโมงครึ่งเป็นสองทุ่ม เพราะกว่าเขาจะมาถึงงานได้ก็ห้าโมงครึ่ง
หมอที่ตรวจโยชิกิในห้องแต่งตัวก่อนเริ่มคอนเสิร์ตบอกว่ายังพอไหว แต่ก็แนะนำว่าควรจะยกเลิกคอนเสิร์ตอยู่ดี และแน่นอนว่าเขาไม่ฟัง
หลังจากเริ่มไปได้ 5 เพลงก็ถึงช่วงโซโลกลอง เวทีเล็กที่ทำขึ้นเพื่อตั้งกลองชุดโดยเฉพาะ ยืดขึ้นจากพื้นในความสูง 5 เมตรกลางเวทีใหญ่ โยชิกิโซโลนานกว่าปกติ เมื่อเวทีหดกลับลงมาที่พื้น เขาคว้าฉาบด้วยสองมือและล้มลงหมดสติไปเลย
สตาฟอุ้มเขากลับมาที่ห้องแต่งตัว พอเริ่มได้สติเขาก็พยายามบอกว่าจะกลับไปขึ้นเวทีให้ได้ แต่ทว่าแม้แต่แรงจะยืนยังไม่มี แถมตาก็พร่ามัวไปหมด ทั้งสมาชิกวงและสตาฟเห็นแล้วว่าไม่ไหวแน่นอน จึงบอกให้เขายกเลิกคอนเสิร์ต แล้วเรียกรถฉุกเฉินไปส่งที่โรงพยาบาล
.
ในระหว่างนั้น ผู้ชมที่รอฟังข่าวของโยชิกิมานานกว่า 45 นาทีก็กังวลกันมากขึ้นทุกที เวลาล่วงเลยจนเกินสี่ทุ่มแล้ว
และที่สุด ผู้จัดการของโซนีก็ขึ้นเวทีมาประกาศด้วยสีหน้าเคร่งเครียด:
“จากที่โยชิกิหมดสติ ตอนนี้ถูกส่งไปโรงพยาบาลแล้ว คอนเสิร์ตวันนี้จำเป็นต้องหยุดลง เขาไม่สามารถเล่นต่อได้แล้ว ได้โปรดเข้าใจด้วยครับ”
เสียงร้องดังระงมไปทั่วเมื่อผู้จัดการพูดจบ แต่ทุกคนก็ยังรอฟังด้วยความตั้งใจต่อ:
“สำหรับคอนเสิร์ตของวันนี้จะเลื่อนไปเป็นวันที่ 12 พฤศจิกายน ส่วนคอนเสิร์ตของวันพรุ่งนี้ จะเลื่อนไปเป็นวันที่ 13 พฤศจิกายน ณ สถานที่เดิม โปรดเก็บบัตรของคุณไว้ให้ดีเพื่อใช้ในครั้งหน้าด้วยครับ”
ไม่นานโทชิก็ขึ้นมาบนเวทีเพื่อพูดกับผู้ชม:
T – ทุกคนฟังทางนี้ มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ตอนนี้โยชิกิถูกส่งไปที่โรงพยาบาลแล้ว แต่เราจะกลับมาแน่นอน! แล้วพบกันใหม่เดือนพฤศจิกายนนี้นะ
แฟน ๆ ต่างส่งเสียงตะโกนเชียร์ทันทีที่โทชิพูดจบ
T – เข้าใจความรู้สึกของโยชิกินะ เขาอยากจะกัดฟันเล่นต่อให้ได้แหละ แต่ทั้งหมอ สตาฟ และทุกคนในวงตัดสินใจแล้วว่าเขาไม่ไหว แต่ว่าคอนเสิร์ตครั้งหน้าพวกเราจะกลับมาแน่นอน และจะชดใช้คืนให้อีก 250 เท่าเลย พวกนายตั้งตารอกันนะ วันนี้ก็รักษาสุขภาพและกลับบ้านดี ๆ ล่ะ
แล้วโทชิก็โบกมือลา ลงจากเวทีไป
หมอวินิจฉัยอาการของโยชิกิว่า เป็นการอักเสบเฉียบพลันของระบบทางเดินหายใจและต้องแอดมิททันที หลังจากพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลอยู่หลายวัน อาการของเขาก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว คงเพราะความรู้สึกที่อยากจะหายเร็ว ๆ เพื่อกลับไปขอโทษแฟน ๆ ช่วยเอาไว้ได้มาก
.
·
◊
26 ตุลาคม คอนเสิร์ต 「EXTASY SUMMIT ครั้งที่ 6」 ถูกจัดขึ้นและโยชิกิเข้าร่วมด้วย สองวันหลังจากนั้นมีงานแถลงข่าวโปรเจกต์ใหม่ 「V2」 เป็นการร่วมงานระหว่างโยชิกิกับ Tetsuya Komuro (เท็ตสึยะ โคมุโระ) โยชิกิมักทำให้คนรอบข้างคาดไม่ถึงกับงานใหม่ ๆ อยู่เสมอ ก่อนนี้เขาได้พบกับโคมุโระหลังจากเดบิวต์ และในไม่ช้ามิตรภาพและความไว้วางใจระหว่างพวกเขาก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ
โคมุโระเป็นนักแต่งเพลงและมือคีย์บอร์ดของวงดัง TM NETWORK กับ Takashi Utsunomiya และ Naoto Kine เขาแต่งเพลงที่ชื่อ「My Revolution」ให้กับ Misato Watanabe ซึ่งโด่งดังมากและทำให้เขามีชื่อเสียงขึ้นมาในฐานะนักแต่งเพลง
โคมุโระทำงานให้กับค่ายเพลงซึ่งเป็นสาขาของโซนี เขามีอายุมากกว่าโยชิกิ 7 ปี แต่พวกเขามีความสนใจคล้ายกันหลายอย่าง และมีเรื่องที่สามารถพูดคุยกันได้มากมาย อาจเป็นเพราะการเติบโตมาคล้ายกัน หากโยชิกิเริ่มเล่นเปียโนตั้งแต่ 4 ขวบ โคมุโระก็เริ่มเล่นไวโอลินตั้งแต่ 3 ขวบ
ทั้งสองถูกหล่อหลอมมาด้วยเพลงคลาสสิก หลงใหลในฮาร์ดร็อคและโพรเกรสซิฟร็อค เริ่มต้นจากการเป็นมือสมัครเล่นจนได้มาเป็นนักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์อย่างวันนี้ ถ้ามีเวลา พวกเขาสามารถคุยกันได้ทั้งวันทั้งคืน จนวันหนึ่งก็ตัดสินใจว่าจะทำโปรเจกต์ร่วมกัน
งานแถลงข่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ในตอนนั้นการร่วมงานเพลงของหัวหน้าวงดังระดับนี้เป็นเรื่องที่ใหม่มาก เรียกได้ว่าทั้งวงการเพลงต่างตั้งตารอฟังผลงานของพวกเขา
.
·
วันที่ 12 และ 13 พฤศจิกายน คอนเสิร์ตที่เลื่อนมาจากเดือนตุลาคม ณ Yokohama Arena ก็มาถึง โยชิกิสวมแจ็กเกตยาวสีแดงขึ้นมาบนเวทีแล้ววิ่งไปทั่ว เขาต้องการจะบอกแฟน ๆ ว่าไม่มีอะไรน่าห่วงและเขาพร้อมมากที่จะเล่นให้เต็มที่
T – พวกเรากลับมาตามสัญญาแล้ว!
โทชิตะโกนแล้วเพลงก็เริ่มบรรเลง โยชิกิตีกลองเต็มที่เหมือนเดิมโดยไม่ได้ถนอมแรงแม้แต่น้อย ตอนที่เล่นเปียโนเขามองไปเห็นใบหน้าของแฟน ๆ ที่กำลังดื่มด่ำกับท่วงทำนอง เขาพึมพำกับตัวเองซ้ำ ๆ ว่า “ขอบคุณ”
.
ทัวร์คอนเสิร์ตครั้งนี้จบลง แต่สำหรับโยชิกิแล้วนี่ไม่ใช่เวลาพักผ่อน เขาพอใจกับล้านยอดขายและความสำเร็จที่โตเกียวโดมครั้งแรกก็จริง แต่หากอยากจะปฏิวัติวงการเพลงร็อคจริง ๆ มีแต่จะต้องเดินหน้าต่อ โยชิกิวางแผนสำหรับคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งถัดไปที่โตเกียวโดม และเตรียมความพร้อมสำหรับการก้าวไปสู่ระดับโลก บรรดาผู้จัดการในค่ายเพลงไม่ขัดอะไรกับความต้องการของเขา ฉะนั้น เป้าหมายใหม่ของ X คือการเข้าสู่สหรัฐอเมริกาและยุโรป เคียงข้างกับวงร็อคฝั่งตะวันตก
25 พฤศจิกายน พ.ศ.2534 งานแถลงข่าวถูกจัดขึ้นพร้อมสมาชิกวง X ทั้งห้า โยชิกิประกาศว่าจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ที่โตเกียวโดมในเดือนมกราคม วันที่ 5 6 และ 7 ติดต่อกัน เป็นคอนเสิร์ตส่งท้ายก่อนวงจะเดินทางไปต่างประเทศ แผนการถูกประกาศออกไปแล้วจึงไม่มีทางที่จะหันหลังกลับได้
.
·
◊
ทว่า แม้โยชิกิจะเชื่อว่าวง X นั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันราวกับเปลวไฟลูกใหญ่อยู่บนเวที แต่จริง ๆ แล้วมีรอยร้าวอะไรบางอย่างที่คนนอกมองไม่เห็น
พฤติกรรมของไทจิเป็นเหตุผล เขาเป็นมือเบสของ X เป็นแกนหลักของเสียงดนตรี เป็นสมาชิกที่มีอายุมากที่สุดในวงรองจากโยชิกิและโทชิ โยชิกิเชื่อในจิตวิญญาณร็อคแอนด์โรลของไทจิ เขาใช้เวลาอยู่ด้วยกันมามาก และถือว่าไทจิเป็นเสมือนน้องชาย
แต่ไทจิก็เหมือนเชื้อเพลิงที่อยู่ในการทะเลาะเบาะแว้งเรื่อย ๆ เขาแต่งงานในวันก่อนเดบิวต์และโหยหาชื่อเสียงเงินทอง โยชิกิรู้จักไทจิมากกว่าใครและเข้าใจในความทะเยอทะยานของเขา แต่คำพูดรุนแรงของไทจิหลายครั้งก็ทำร้ายจิตใจของคนรอบข้าง
.
·
ช่วงกลางของทัวร์ Violence In Jealousy วันรุ่งขึ้นหลังจากจบคอนเสิร์ตที่ฮอกไกโด ฮิเดะปลุกโยชิกิตอน 6 โมงเช้าแล้วไปคุยกันที่ร้านอาหารสำหรับครอบครัว
H – โยชิกิ เราทำงานกับไทจิไม่ได้แล้วว่ะ
กลายเป็นว่าไทจิโกรธกับเรื่องตลกของฮิเดะและต่อว่าเขาอย่างหยาบคาย ฮิเดะบอกว่าถ้าไทจิอารมณ์ไม่ดีบนเวที เขาก็เลิกเล่นไปดื้อ ๆ เลยซึ่งเป็นเรื่องที่รับไม่ได้
โยชิกิพยายามประนีประนอมและได้แต่บอกกับฮิเดะว่า
Y – วง X ต้องการไทจิ
โยชิกิเองก็เคยทะเลาะกับไทจิหลายครั้ง แต่เขาก็เชื่อมาตลอดว่าต้องเป็นไทจิที่จะอยู่ในวง จนในที่สุดก็มีเหตุให้โยชิกิตัดสินใจว่าต้องแยกทางกับไทจิแล้วจริง ๆ
ช่วงสิ้นปีนั้น โยชิกิรู้มาว่าไทจิทำผิดคำปฏิญาณที่พวกเขาเคยมีต่อกัน แม้ว่าเขาจะชอบไทจิในฐานะมือเบสมาก แต่ในฐานะเพื่อนมนุษย์ เขาไม่สามารถเชื่อใจไทจิได้อีกต่อไป และไม่มีอะไรมาสั่นคลอนการตัดสินใจของโยชิกิได้ เขาตั้งใจจะให้ไทจิออกจากวงโดยไม่ได้ปรึกษาใคร
.
31 ธันวาคม พ.ศ.2534 วง X ได้ร่วมรายการมหกรรมคอนเสิร์ตขาว-แดง ครั้งที่ 42 (NHK Kouhaku Uta Gassen) พวกเขาเล่นเพลง Silent Jealousy ในรายการสดนั้น เป็นครั้งแรกของวงฮาร์ดร็อคที่ได้ยืนอยู่บนเวทีอันศักดิ์สิทธิ์ และแสดงให้กับผู้ชมทั่วประเทศที่มารวมตัวกันผ่านหน้าจอทีวี เป็นความปลื้มปิติมากที่พวกเขาได้แสดงพลังเร่าร้อนของคนรุ่นใหม่ต่อหน้าผู้ชมนับล้าน
หลังจบรายการ พวกเขามุ่งหน้าไปที่ Meguro Rokumeikan เพื่อร่วมงานเคาท์ดาวน์ประจำปีของที่นั่น หลังเล่นจบและได้พบกับแฟน ๆ แล้ว โยชิกิออกมาโทรศัพท์ข้างนอก เขาโทรเข้าไปหาไทจิที่ห้องแต่งตัว และเรียกออกมาคุยกันที่บาร์ในย่านเอะบิสุ
โยชิกิพูดกับไทจิที่นั่งอยู่ตรงหน้า:
Y – นายโดนไล่ออก
TAIJI – ว่าไงนะ?
ไทจิยังไม่เข้าใจ
Y – นายอยู่กับวง X ไม่ได้แล้ว
TAIJI – ทำไม?
Y – เพราะนั่นแหละ
โยชิกิรู้ว่าไทจิเองก็รู้โดยไม่ต้องบอกเหตุผล ไทจิเห็นแล้วว่าโยชิกิไม่ได้พูดเล่น
TAIJI – คนอื่นในวงรู้ไหมว่าโยชิกิกำลังพูดอะไรกับฉันตอนนี้?
Y – ไม่มีใครรู้เลย
TAIJI – มันแปลกไปนะที่มาบอกกันกะทันหันแบบนี้
เสียงของโยชิกิสั่น
Y – ฉันตัดสินใจแล้ว
ไทจิแย้ง
TAIJI – แล้วคอนเสิร์ต 3 วันที่โตเกียวโดมล่ะ?
Y – ตอนนี้ฉันยังไม่ได้คิดเรื่องนั้น
TAIJI – นายยังไม่คิดทั้งที่อีกแค่ 5 วันจะมีคอนเสิร์ตเนี่ยนะ!
Y – ฉันจะคิดเรื่องนั้นทีหลัง
โยชิกิออกมาจากบาร์แล้วกลับไปขึ้นเวทีที่ Meguro Rokumeikan ด้วยความฉุนเฉียว เขาเริ่มพังอุปกรณ์ข้าวของและเครื่องดนตรี ทั้งกีตาร์ กลอง ไมโครโฟน และแอมป์ เขากระโดดลงไปกลางกลุ่มคนดูในฮอลล์ ผมของเขากระเซิงและเสื้อผ้าขาดวิ่น แต่ก็กลับขึ้นไปบนเวทีใหม่ และยังคงทำลายทุกสิ่งที่คว้าได้จนแทบจะไม่เหลืออะไรที่ใช้ได้
.
โยชิกิให้อภัยไทจิไม่ได้ก็จริง แต่เขาก็อดคิดถึงความทรงจำดี ๆ กับเพื่อนที่เพิ่งแยกทางกันไม่ได้ พวกเขาเคยอยู่ในอะพาร์ตเมนต์ใกล้กับสถาบันดนตรีย่านเอโกดะด้วยกัน ไทจิที่ทำอาหารเป็น สามารถทำอาหารอร่อย ๆ จากอะไรก็ได้ที่อยู่ในตู้เย็น โยชิกิผู้ไม่สามารถแม้แต่จะทอดไข่ได้ ก็ชอบอาหารที่ไทจิทำมาก
ไทจิยังรับผิดชอบเรื่องการแต่งตัวของวงตั้งแต่ช่วงที่เล่นในไลฟ์เฮาส์ เขาเย็บเสื้อแจ็คเก็ตหนังที่ซื้อมาจากย่านอะสะกุสะด้วยจักรเย็บผ้าอย่างชำนาญ ประดับประดาเสื้อหนังตัวเดียวในโลกนั้นด้วยโซ่ กระดุม และเศษแก้ว
ย้อนกลับไปช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ.2532 ก่อนวงจะได้รับรางวัลศิลปินหน้าใหม่ ไทจิถูกตำรวจจับเพราะไปเกี่ยวข้องในเหตุทะเลาะวิวาทครั้งใหญ่กลางเมืองที่ทำให้ทรัพย์สินเสียหาย ทุกคนในวงไม่แปลกใจเมื่อรู้ข่าว เพราะมั่นใจว่าไทจิต้องทำให้ตัวเองกลับมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้แน่ โชคดีที่เหตุการณ์นั้นจบลงได้ ทุกคนจึงทำเหมือนว่าไม่รู้เรื่องอะไร
ช่วงก่อนจบทัวร์「ROSE & BLOOD TOUR」ไทจิบาดเจ็บที่มือค่อนข้างหนักจากเรื่องชกต่อย และต้องเย็บถึง 14 เข็ม เขาฉีดยาแก้ปวดแล้วขึ้นเวทีไปเล่นคอนเสิร์ต ทุกคนรู้เลยว่าเขารักการเป็นนักดนตรีร็อคแค่ไหน
ที่โยชิกิต้องยอมตัดไทจิออกจากวงดูเหมือนไร้หัวใจ แต่ก็ต้องทำเพื่อวง โยชิกิยังคงบอกกับเพื่อนนักดนตรี ผู้จัดการที่ไลฟ์เฮาส์ และนักข่าวของนิตยสารดนตรีว่า X ก็คือครอบครัว:
Y – ผมเป็นลูกชายคนโตที่นิสัยเสียและเอาแต่ใจ ฮิเดะ เป็นคุณแม่ที่อบอุ่นและอ่อนโยน โทชิ เป็นญาติสนิทรุ่นเดียวกัน พาตะ เป็นคุณปู่เงียบ ๆ ใจดีและยิ้มง่าย ส่วนไทจิ เป็นน้องชายที่เหมือนผมทุกอย่าง
ทันใดนั้นความทรงจำที่พลุ่งพล่านก็เสียดแทงโยชิกิด้วยความเจ็บปวด แต่เขารู้ดี ไม่ว่าจะพังข้าวของบนเวทีไปมากแค่ไหน อดีตก็ไม่อาจหวนกลับมาได้
.
·
8 โมงเช้าวันที่ 1 มกราคม หลังเคาท์ดาวน์ที่ Meguro Rokumeikan โยชิกินัดฮิเดะ โทชิ และพาตะ มาเจอกันแล้วบอกว่าเขาเพิ่งไล่ไทจิออกจากวงไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา:
Y – ฉันเพิ่งให้ไทจิออกจากวงและทุกคนคงรู้เหตุผลว่าทำไม ฉันรู้ว่ามันไม่ดีที่ไม่ได้ปรึกษาใครก่อน แต่ถ้ามีใครไม่เห็นด้วยก็ขอให้บอกกันตรงนี้ และถ้าใครไม่สบายใจที่จะอยู่ต่อฉันก็จะไม่ขัด แค่ขอคำตอบตอนนี้เลย
ฮิเดะเข้าใจดีว่าโยชิกิเจ็บปวดที่ต้องเป็นคนพูดกับไทจิเอง
H – ฉันไม่ติดอะไรกับการตัดสินใจของโยชิกิ พวกเราจะอยู่ต่อ
โทชิและพาตะก็ตอบแบบเดียวกัน
ทางสตาฟมีการสรุปข้อตกลงที่ไทจิจะเข้าร่วมคอนเสิร์ตใหญ่ที่โตเกียวโดม เมื่อคอนเสิร์ตสามวันนี้จบลง X จะไม่มีมือเบส
.
·
◊
คอนเสิร์ตใหญ่สามวันต่อเนื่องครั้งแรกในประวัติศาสตร์เพลงร็อคญี่ปุ่น เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 5 มกราคม พ.ศ.2535 บัตรคอนเสิร์ตของทั้งสามวันหมดทันทีในวันแรกที่เปิดขาย คนมากันแน่นโตเกียวโดมจนแทบหายใจไม่ได้ เพราะพวกเขารู้ว่าหลังจบคอนเสิร์ตครั้งนี้ X จะไม่อยู่ที่ญี่ปุ่น
“ถ้าสามวันนี้ไม่เพอร์เฟ็ค อนาคตคงหมดหวัง” – โยชิกิพึมพำระหว่างซ้อม และขังตัวเองไว้ในห้องแต่งตัวตลอดจนถึงเวลาขึ้นเวที เขามองข้ามความบาดเจ็บของร่างกายและปล่อยให้ความรู้สึกตื่นเต้นเข้ามาแทนที่
https://youtu.be/a2-pQ7GCwSg
เมื่อสมาชิกทั้งห้าเริ่มปรากฏตัว เสียงกรีดร้องจากแฟน ๆ ทั้งบริเวณด้านบนและล่างของสนามกีฬาก็ดังกึกก้อง เมื่อภาพปรากฏบนจอยักษ์ผู้ชมต่างก็ลุกขึ้นยืน หลังการให้สัญญานของโยชิกิที่นั่งอยู่หน้ากลอง ดนตรีก็ดังขึ้นพร้อมกับแสงไฟและกลุ่มควันพวยพุ่งราวกับจะระเบิดได้ทั้งโดม เมื่อเพลงเปิด「PROLOGUE (~WORLD ANTHEM)」บรรเลงจบ คอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายของไทจิกับวง X ก็เริ่มขึ้น
โยชิกิสรรสร้างเบื้องหลังที่เจ็บปวดออกมาเป็นเพลง ฮิเดะยั่วเย้าคนดูอย่างขี้เล่นคล้ายอาว็อง-การ์ด แดนซ์ (ศิลปะแบบก้าวหน้า) เสียงใสมั่นคงและกังวานของโทชิ พาตะกับท่าทีนิ่ง ๆ แต่เทคนิคดีเยี่ยม และการเล่นเบสดุเดือดของไทจิ ตัวตนที่แตกต่างของทั้งห้าคน ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวด้วยบทเพลงและการแสดงบนเวที
ถึงช่วงโซโลกลอง โยชิกิจับไม้กลองแน่นราวกับเป็นอาวุธ เขาเหวี่ยงด้วยแรงที่ไม่อาจต้านทาน รูปลักษณ์ทั้งกายและผมเผ้าที่ปลิวว่อนพันกัน ชวนให้นึกถึงภาพวาดวีนัสของบอตติเชลลีจากยุคเรอเนซองส์ นอกจากนี้ ถ้าจำความเจ็บปวดรุนแรงที่เกิดจากการตีกลอง สลับกับความสุขที่แสดงออกมาจากสีหน้าของเขาได้ จะทำให้นึกถึงบทเจ้าชายซิกฟรีดในบัลเล่ต์『Swan Lake』ของไชคอฟสกีด้วย
คอนเสิร์ตดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย โยชิกิรวบรวมพลังอีกครั้งและเริ่มเล่นเปียโน
เขาผลักดันตัวเองจนเกินขีดจำกัดทุกครั้งและต้องฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการปวดคอและไหล่ เขาหายใจเข้าลึก ๆ พยายามซึมซับเสียงกรีดร้องของแฟน ๆ และได้แต่ภาวนาให้ร่างกายของตัวเองผ่านคอนเสิร์ตสามวันนี้ไปให้ได้
.
7 มกราคม เป็นคอนเสิร์ตวันสุดท้าย สมาชิกทุกคนในวงจมอยู่ในห้วงความคิด แฟนคลับยังไม่รู้ว่าหลังจบคอนเสิร์ตไทจิจะออกจากวง มือเบสขึ้นเวทีมาด้วยหมวกหนังทรงคาวบอยที่ถูกดึงลงมาปิดบังดวงตาของตัวเองตลอดทั้งการแสดง ความเศร้าเรื่องนี้แสดงออกมาทางสีหน้าของฮิเดะ โทชิ และพาตะ
เสียงกรีดร้องปรบมือไม่หยุดของแฟน ๆ เสียดแทงใจของโยชิกิ ไทจิออกจากวงและ X กำลังจะไปต่างประเทศ ความเศร้าทำให้เขาเฝ้าแต่ปาดน้ำตาที่ไหลไม่หยุด
หลังจบคอนเสิร์ตประวัติศาสตร์สามวันที่โตเกียวโดมที่มีผู้เข้าชมกว่า 120,000 คน ปาร์ตี้ใหญ่ได้เริ่มขึ้น แขกกว่าพันคนมาทักทายและแสดงความยินดีกับฮิเดะ โทชิ พาตะ และไทจิ แต่โยชิกิไม่ปรากฏตัว เขากลับไปอยู่โรงแรมที่พักในช่วงคอนเสิร์ตคนเดียว เพื่อจมอยู่กับห้วงความทรงจำกับไทจิ
.
·
หลังจากวันนั้น โยชิกิและไทจิก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย พวกเขาได้เจอกันอีกครั้งหกปีต่อมา ในเดือนพฤษภาคม ปีพ.ศ. 2541 ณ งานศพของฮิเดะ
31 มกราคมปีนั้น โยชิกิประกาศเรื่องการออกจากวงของไทจิเป็นครั้งแรกในรายการ Music Station ระบุสาเหตุว่าเกิดจากความคิดเห็นทางดนตรีที่ต่างกัน และไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น
.
·
◊
ตอนนี้โยชิกิต้องหามือเบสคนใหม่ เขาปรึกษาเพื่อน ๆ และศิลปิน จัดการออดิชั่น แต่ก็ยังยากที่จะหาคนที่ใช่
ฮิเดะเองก็เดินหน้าหามือเบสคนใหม่เช่นกัน และในช่วงวันหยุดยาวเดือนพฤษภาคมปี 2535 นั้น อยู่ ๆ ฮิเดะก็นึกถึงมือเบสคนหนึ่งขึ้นมา เขาอายุน้อยกว่าฮิเดะสามปี ได้เจอกันครั้งแรกจากการแนะนำของเพื่อนที่ห้องแต่งตัวหลังคอนเสิร์ต X ณ Nippon Budokan ปี 2533 จึงได้ทักทายและแลกเบอร์กันไว้
นักดนตรีคนนี้มาจากเมืองอะมะงะซะกิ จังหวัดเฮียวโงะ ชื่อของเขาคือ Hiroshi Morie (ฮิโรชิ โมริเอะ) หรือ HEATH (ฮีธ)
HEATH เล่นเบสให้กับวงอย่าง PARANOIA, VIRUS และ MEDIA-YOUTH และได้รับความนิยมในไลฟ์เฮาส์มาก
ฮิเดะบอกโยชิกิแล้วโทรหาฮีธทันที:
H – เรากำลังหามือเบสคนใหม่ของ X มาลองเล่นดูไหม?
ฮีธได้ฟังฮิเดะพูดอย่างนั้นยังไม่ได้รู้สึกดีใจ
HEATH – ที่จริงยังมีมือเบสคนอื่นที่เล่นดีกว่าฉันอีกนะ เช่น…
ฮีธเล่นกับวงอื่นมาตลอดและไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นสมาชิกของวง X ได้ แต่ฮิเดะยังตื๊อจนฮีธยอมตกลงที่จะไปร่วมแจมกันโดยไม่ขอออดิชั่น เพราะเขาคิดว่ามันยากที่จะเล่นได้ดีในสถานการณ์แบบนั้น
เมื่อฮิเดะบอกโยชิกิเรื่องนี้ ก็ได้นัดหมายกันที่สตูดิโอในไม่กี่วันถัดมา ฮีธมาถึงในสภาพที่ดูไม่ค่อยสบาย
HEATH – ฉันแฮงค์หน่อยนะ
ทุกคนยิ้มเจื่อนให้กับฮีธที่มีกลิ่นแอลกอฮอลล์ติดตัว แต่เป็นฮิเดะกับพาตะที่รู้สึกประหม่ามากกว่า พวกเขาเล่นเพลงในคอนเสิร์ตที่ซ้อมกันปกติไปทีละเพลงอย่าง「ENDLESS RAIN」「SADISTIC DESIRE」「BLUE BLOOD」「Standing Sex」「Joker」ฮีธเล่นเพลงของ X ได้เกือบจะสมบูรณ์แบบ เมื่อเล่นเสร็จเขาบอกว่า:
HEATH – ผลยังไม่ออกวันนี้ใช่ไหม
จากนั้นเขาก็เก็บเบสใส่เคสและออกจากสตูดิโอไป สมาชิกของ X รู้สึกประหลาดใจกับความนิ่งสงบและเป็นธรรมชาติของเขามาก เขายังเป็นตัวเองต่อหน้าสมาชิก X ทุกคนในวง ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้แสดงความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะเป็นหนึ่งในสมาชิกวงร็อคแถวหน้าของวงการอีกด้วย
Y – คนที่จะมาเป็นสมาชิกวงคนใหม่ไม่ใช่แค่ต้องเล่นเบสได้ดี ท้ายที่สุดเราจะต้องใช้เวลาอยู่ด้วยกันเยอะมาก เพราะงั้นก็ต้องเป็นคนที่เข้ากันได้ดี ฉันคิดว่าฮีธโอเค
โยชิกิยึดแนวคิดนี้มาตลอดการออดิชั่น เขาชอบช่วงเวลาที่เล่นด้วยกันกับฮีธ ไม่มีความรู้สึกอึดอัดหรือไม่สบายใจเลย แน่นอนว่าสมาชิกวงคนอื่น ๆ ก็เห็นด้วยกับโยชิกิ
ฮิเดะโทรกลับไปหาฮีธในวันนั้นและคุยเรื่องการแจมกัน:
H – ทุกคนดูเหมือนจะชอบเลยนะ ฮีธล่ะว่าไง?
ฮีธไม่ได้พูดอะไร วันรุ่งขึ้นเขาถูกเชิญให้เข้าวงอย่างเป็นทางการ แต่ยังไม่รีบร้อนที่จะตัดสินใจ และได้ให้คำตอบในไม่กี่อาทิตย์ถัดมา:
HEATH – ฉันมีวงของตัวเองอยู่ก็เลยต้องคิดมากหน่อย แต่วันนั้นที่ได้เล่นกับ X ก็สนุกมากจริง ๆ… ฉันจะเข้าวง”
ความจริงจังและคำพูดที่จริงใจของฮีธทำให้สมาชิกในวงมั่นใจในตัวเขา
.
·
◊
เมื่อได้มือเบสคนใหม่แล้ว X ก็พร้อมที่จะเดินทางไปลอสแอนเจลิส ในที่สุดความฝันที่จะก้าวสู่ระดับโลกตั้งแต่สองปีที่แล้วก็เริ่มใกล้ความจริง พวกเขายุ่งอยู่กับการวางแผนและสำคัญที่สุดคือเรื่องที่อยู่อาศัย
โยชิกิเช่าแมนชั่นในย่าน Hollywood Hills เขาเลือกเฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งภายในเป็นสีขาวดำ มีสวนและห้องนั่งเล่นกว้างขวางพร้อมแกรนด์เปียโน มียิม สระว่ายน้ำ ห้องนอนและห้องน้ำขนาดใหญ่ ห้องสำหรับเพื่อนและนักดนตรี โรงจอดรถสองคัน ตั้งอยู่ในย่านที่เงียบสงบ บรรยากาศเอื้อกับการฟังดนตรีโปรดและแต่งเพลงของตัวเอง
โยชิกิดำเนินเรื่องเซ็นสัญญาและการเจรจาทั้งหมดกับทนายความเป็นการส่วนตัว และนับตั้งแต่การอัดเสียงอัลบั้มล่าสุด เขายังคงฝึกภาษาอังกฤษมาเรื่อย ๆ จนตอนนี้ก็สามารถฟังข่าว CNN หรืออ่านบทความใน The Wall Street Journal ได้คล่องแล้ว
.
มาอเมริกาครั้งนี้ แม้ตารางงานจะแน่นมากทั้งเรื่องสัญญากับค่ายเพลง การประชุมกับผู้จัดการและสตาฟมากมาย แต่เขายังรู้สึกถึงที่ว่างมากมายในใจ ตอนนี้เมื่อความฝันเข้าใกล้ความจริง โยชิกิเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอีกครั้ง รู้สึกเหมือนตอนกำลังจะได้เล่นในไลฟ์เฮาส์ครั้งแรก จะมีอะไรที่รอพวกเขาอยู่ข้างหน้า? หัวใจของเขาพองโตด้วยความคาดหวังและความสุข
บ่อยครั้งในค่ำคืนที่นอนไม่หลับ โยชิกิคิดถึงทะเลในทาเทะยามะ สุดท้ายแล้วคลื่นสีขาวก็ซัดสาดพาเขากลับเข้าสู่หาดทรายได้ทุกครั้ง ความสงบปกคลุมไปทั้งร่าง ความกลัวและความกังวลก็พลันหาย แม้แต่ความเจ็บปวดของอาการหอบหืดก็ถูกลืมไปหมดสิ้น
บางครั้งในช่วงที่นอนไม่หลับ โยชิกิก็คิดถึงพ่อของเขา
“ถ้าเขาเห็นฉันตอนนี้ เขาจะว่ายังไงนะ”
ภาพใบหน้าของพ่อปรากฏชัดขึ้นเมื่อเขาชี้ให้ดูรถโรลส์-รอยซ์ ไม่ได้ยินเลยว่าพ่อพูดอะไร แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา
เขาได้นอนก็ตอนที่แสงแรกของเช้าวันใหม่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา
หลังจากการต่อสู้อันยาวนาน รุ่งอรุณก็มาถึง
โยชิกิจึงเชื่อเสียงที่ดังอยู่ในใจอย่างไม่ลังเล.
◊
ในที่สุดก็จบบทที่ 4 แล้ว เย่ ๆๆ เหลืออีก 2 บทสุดท้าย กรุณารอค่ะ ヽ(⌒▽⌒)ノ
Thx featured pic from: http://xjapanhideto.blogspot.com/2016/11/together-toward-destruction.html
อยากอ่านต่อค่าาา
LikeLike